7 ความเข้าใจผิดที่แม้แต่หมอยังเชื่อ
ดร.อารอน แคร์รแล (Dr. Aaron Carroll) และ ดร.ราเชล
ฟรีแมน (Dr.Rachel Vreeman) 2 กุมภาพันธ์
จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยอินเดียนา (Indiana University School of
Medicne ) สหรัฐอเมริกา
เปิดเผยผลการวิเคราะห์ข้อปฏิบัติและความเชื่อเกี่ยวกับสุขภาพ จนออกมาเป็นรายงาน “มายาคติทางการแพทย์”
ผ่านวารสารบริติชเมดิคัลเจอร์นัล(British Medcal Journal) ฉบับล่าสุด
โดยแจกแจงออกเป็น 7 ข้อคือ
1.มนุษย์ใช้สมองแค่ 10% เท่านั้น
ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษ 1900 เชื่อกันว่าสมองของคนเราทำงานเพียงแค่ 10%
ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ใครคนหนึ่งกุขึ้น
เพื่อที่จะต้องการครอบงำกลุ่มคนหมู่มาก กระทั่งวิทยาการก้าวหน้า
นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาสมองจากภาพสแกน ก็ไม่พบว่ามีสมองส่วนไหนอยู่นิ่งเฉย
หรือว่ามีเซลล์สมองในบริเวณไหนไม่มีปฎิกิริยาใดๆ และจากการศึกษากระบวนการทางเค
มีของเซลล์สมองบ่งชี้ว่าไม่มีสมองบริเวณไหนที่ไม่ทำงาน
และจากการศึกษาผู้ป่วยที่ได้รับความกระทบกระเทือนที่สมองยังบ่งชี้ว่าสมองที่ถูกทำลายแล้วจะมีผลต่อการสมรรถภาพร่างกาย
2.ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ8แก้ว “ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าคนเราต้องการน้ำมากมายขนาดนั้น”
ดร.ฟรีแมนระบุ ซึ่งเธอคาดว่าความเชื่อนี้มีที่มาจากสภาโภชนาการของสหรัฐฯ
เมื่อปี 2548 ที่แนะนำให้ประชาชนบริโภคของเหลววันละ 8 แก้ว
แต่ในปีต่อๆ มาหลังจากนั้น คำว่า “ ของเหลว” จำกัดอยู่เฉพาะที่
“น้ำเปล่า” ไม่ได้หมายรวมถึงน้ำผักผลไม้ กาแฟ
หรือว่าของเหลวอื่นๆ เข้าไปด้วย
อีกหนึ่งต้นตอของความเชื่อนี้น่าจะมาจากเฟรเดอริค สแทร์ (Frederick
Stare) โภชนาการที่แนะนำให้ดื่มเครื่องดื่มวันละ 6-8 แก้ว
ซึ่งครอบคลุมทั้งน้ำเปล่า ชา กาแฟ นม เบียร์ และซอฟดิงก์อื่นๆ
ต่อมาการแนะนำที่ปราศจากข้อมูลอ้างอิง ของสแทร์ถูกหักล้างด้วยข้อมูลของไฮนซ์
วาลติน (Heinz Valtin) ที่รายงานไว้ในวารสารอเมริกันเจอร์นัลออฟฟิสิโอโลจี
(American Journal of Physiology) ที่ว่าการบริโภคนม
น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มอื่นๆ
เป็นประจำในแต่ละวันเท่านี้ร่างกายก็ได้รับของเหลวเพียงพอต่อความต้องการแล้ว
ในทางตรงกันข้าม การดื่มน้ำมากเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายเมื่อเกิดภาวะสารน้ำในร่างกายมากผิดปกติจนเกิดเป็นพิษ
หรือที่เรียกว่า “น้ำเป็นพิษ”(Water intoxication)
3.ตายไปแล้วแต่เล็บและเส้นผมยังคงงอก
ผู้แต่งหนังสือเรื่อง “แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง”(All
Quiet On The Western Front) บรรยายไว้ว่าเล็บของเพื่อนคนหนึ่งยาวขึ้นหลังจากพิธีฝังศพผ่านไปแล้ว
ส่วนจอห์นนีคาร์สัน (Johnny Carson) นำความเชื่อนี้มาเขียนเป็นเรื่องขำขันจนกลายเป็นความเชื่ออมตะว่า
หลังจากตายไปแล้ว 3 วัน ผมและเล็บของเราจะงอกใหม่
แพทย์ส่วนใหญ่คิดว่านี้เป็นเรื่องจริงในตอนแรก แต่เมื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วนจะเห็นว่า
ที่จริง แล้วในขณะที่ศพกำลังแห้งลง เนื้อเยื่อที่นุ่มอย่างผิวหนังก็จะหดตัว
ทำให้เผยชิ้นส่วนของเล็บมากขึ้น ทำให้ดูว่ายาวออกมา เช่นเดียวกันเส้นผม
ซึ่งจะสังเกตุเห็นผิวหนังหดตัวได้น้อยกว่า
อย่างไรก็ดีฮอร์โมนที่ทำหน้ากระตุ้นให้ผมและเเล็บยาวนั้นไม่มีทางทำงานหลังจากเจ้าของร่างสิ้นใจไปแล้วเป็นแน่
4.ผมหรือขนงอกเร็วกว่าเก่าเมื่อโกน
แถมหยาบและสีเข้มขึ้นด้วย ปี 2471 นักวิทยาศาสตร์ทดลองโกนผมแล้วเปรียบเทียบผมที่งอกใหม่กับผมที่ไม่ได้โดนโกน
ผลปรากฎว่าผมที่งอกขึ้นมาแทนผมที่ถูกโกนไปก่อนหน้านั้นไม่ได้มีสีเข้มหรือเส้นหนาหรืองอกเร็วไปกว่าผมปกติเลย
การทดลองครั้งหลังๆ ก็ให้ผลเช่นเดียวกัน
ที่จริงแล้วเมื่อผมถูกโกนและงอกใหม่เป็นครั้งแรกจะยังเป็นเส้นผมทื่อๆ ตรงส่วนปลาย
แต่เมื่อผ่านไปนานวันเข้า ปลายผมที่เคยแข็งทื่อก็จะค่อยๆ
เสื่อมสภาพและอ่อนนุ่มขึ้น ส่วนที่มองเห็นเป็นสีเข้มกว่าปกติ
เนื่องจากว่าในตอนแรกผมเส้นนั้นยังไม่ถูกแดดเผาทำลายให้สีซีดจางลง
5.อ่านหนังสือในที่แสงน้อยทำให้สายตาเสีย
เรื่องนี้เป็นที่เชื่อถือกันอย่างแพร่หลาย และผู้ใหญ่ก็มักจะห้ามไม่ให้เด็กๆ
อ่านหนังสือในที่มืดหรือที่ที่มีแสงน้อย มิฉะนั้นแล้วสายตาสั้นและต้องสวมแว่น
เป็นต้น
ความเชื่อนี้น่าจะมาจากจักษุแพทย์ที่บอกว่าหากใช้สายตาในที่แสงสว่างน้อยกว่าปกติจะมีผลต่อการรับภาพของประสาทตา
ทำให้อัตราการกระพริบตาลดลง ตาแห้งและระคายเคือง อย่างไรก็ดี
ปัจจุบันนักวิจัยและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตายังไม่พบหลักฐานชี้ชัดว่าการอ่านหนังสือในที่มืดจะทำลายสุขภาพตาอย่างถาวร
แต่สามารถทำให้ดวงตาย่ำแย่และการมองเห็นด้อยลงเป็นเวลาชั่วครั้งชั่วคราวได้
6.รับประทานไก่งวงทำให้ง่วงนอน
เดิมทีแพทย์และนักวิจัยต่างก็เชื่อว่าการรับประทานไก่งวงแล้วจะรู้สึกง่วงนอน
แต่พบว่าสารทริปโตแฟน(Tryptophan) ในไก่งวงนั่นเองที่เป็นสาเหตุให้ผู้ที่รับประทานไก่งวงรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน
ทว่าในไก่งวงไม่ได้มีทริปโตแฟนมากไปกว่าไก่ทั่วไปหรือเนื้อวัวเลย มีเท่าๆ
กันประมาณ 350 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 115 กรัม
ขณะที่แหล่งโปรตีนอื่นๆ อย่างเนื้อหมูหรือชีสมีทริปโตแฟนมากกว่าไก่งวงเสียอีกเมื่อเทียบเป็นน้ำหนัก
เพียงแต่ว่าผู้คนนิยมบริโภคไก่งวงกันมากเป็นพิเศษในช่วงวันหยุด
และยังดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร่วมด้วย
เหตุนี้จึงทำให้รู้สึกง่วงและหลับง่ายกว่าปกติ
นอกจากนี้แพทย์ยังนำกลไกในร่างกายมาอธิบายได้ว่าอาการง่วงนอนมักเกิดขึ้นหลังจากรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาหารมื้อนั้นเป็นเนื้อสัตว์เสียส่วนใหญ่
หรือมีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตมาก จะกระตุ้นให้รู้สึกง่วงนอนมากเป็นพิเศษ
เนื่องจากว่าเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ลดลง
7.ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในโรงพยาบาล
เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย
ที่ผ่านมายังไม่เคยมีผู้ป่วยในโรงพยาบาลเสียชีวิตเนื่องมาจากโทรศัพท์เคลื่อนที่
แต่พบว่าโทรศัพท์ที่รบกวนการทำงานของอุปกรณ์การแพทย์บางอย่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เช่นเครื่องควบคุมการให้สารละลายในผู้ป่วย(infusion pump) เครื่องเฝ้าติดตามการทำงานของระบบหัวใจ
(cardiac monitor)
ทว่าขณะที่ยังไม่มีรายงานใดๆ
ยืนยันถึงอันตรายของการใช้โทรศัพท์มือถือในโรงพยาบาล ในปี 2545 มีการเผยแพร่เรื่องที่มีการใช้โทรศัพท์มือถือในสถานพยาบาลแห่งหนึ่งแล้วปรากฎว่าเครื่องควบคุมการให้สารอะดรีนาลีน
(adrenaline) ทำงานผิดปกติ หลังจากนั้นวอลล์สตรีทเจอร์นัล(Wall Street
Journal) ก็นำรายงานมากว่า 100 รายงานที่ระบุว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่รบกวนการทำงานของอุปกรณ์การแพทย์ในช่วงก่อนปี
2536 ทำให้โรงพยาบาลต่างๆ ไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์มือถือในโรงพยาบาล
เมื่อไม่นานมานี้มีการศึกษาวิจัยถึงเรื่องดังกล่าวในประเทศอังกฤษ
พบว่าโทรศัพท์มือถือรบกวนการทำงานของอุปกรณ์แพทย์เพียง 4%เท่านั้น
และต้องอยู่ห่างจากอุปกรณ์นั้นภายในระยะไม่เกิน 1 เมตร
และจากการทดสอบการใช้โทรศัพท์มือถือ 300 ครั้งในห้องพักฟื้น
75 ห้อง ไม่พบสิ่งใดผิดปกติเลย
ในทางตรงกันข้ามพบว่าแพทย์ที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ สามารถสื่อสารได้ชัดเจน
และลดความผิดพลาดได้มากขึ้น
“เมื่อพวกเราเอ่ยเรื่องนี่ขึ้นมาในตอนแรก
แพทย์ส่วนใหญ่จะยังไม่เชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง
กระทั่งพวกเขาได้ศึกษาหลักฐานต่างๆ อย่างละเอียดแล้ว
เขาจึงยอมรับกันว่าที่พวกเขายึดถือมานั้นไม่ดุถูกต้องไปทั้งหมด” ดร.ฟรีแมนกล่าว
เครดิตโดย http://www.manager.co.th/